วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2559

สมาชิกผู้จัดทำ

นำเสนอ
อาจารย์ ดร.ภัทราพร  พรหมคำตัน

รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการสื่อสารข้อมูลและเครือข่าย
รหัสวิชา COM 2702ประจำภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2559


มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่

โพรโตคอล (Protocol) คืออะไรและตัวอย่างของ โพรโตคอล (Protocol)

Protocol คืออะไร
     โปรโตคอล คือ ข้อกำหนดหรือข้อตกลงในการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ หรือภาษาสื่อสารที่ใช้เป็น ภาษากลางในการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ด้วยกัน การที่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถูกเชื่อมโยงกันไว้ในระบบจะสามารถติดต่อสื่อสารกันได้นั้น จำเป็นจะต้องมีการสื่อสารที่เรียกว่า โปรโตคอล (Protocol) เช่นเดียวกับคนเราที่ต้องมีภาษาพูดเพื่อให้สื่อสารเข้าใจกันได้ 
          โปรโตคอลช่วยให้ระบบคอมพิวเตอร์สองระบบ ที่แตกต่างกันสามารถสื่อสารกันอย่างเข้าใจได้  คือข้อตกลงที่กำหนดเกี่ยว กับการสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ ทั้งวิธีการส่งและรับข้อมูล วิธีการตรวจสอบข้อผิดพลาดของการส่งและรับข้อมูล การแสดงผลข้อมูลเมื่อส่งและรับกันระหว่างเครื่องสองเครื่อง ดังนั้นจะเห็นได้ว่าโปรโตคอลมีความสำคัญมากในการสื่อสารบนเครือข่าย หากไม่มีโปรโตคอลแล้ว การสื่อสารบนเครือข่ายจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้
ตัวอย่างของ Protocols ที่ทำงานใน OSI Model แต่ละ Layer

แหล่งที่มา : http://ccna-routingswitching-ciscochamp.netai.net/web_images/layers_and_protocols.png



แหล่งที่มา : http://vichargrave.com/wp-content/uploads/2013/01/Network-Stack-Models1.png


แหล่งที่มา : http://images.slideplayer.com/19/5813405/slides/slide_35.jpg
แหล่งที่มา : http://vichargrave.com/wp-content/uploads/2013/01/Network-Stack-Models1.png

แหล่งที่มาของข้อมูล

Protocol คืออะไร โปรโตคอล คือ ข้อกำหนดซึ่งเป็นมาตรฐาน ใช้สำหรับการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : http://www.mindphp.com/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD/73-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/2044-protocol-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3.html. 22 ตุลาคม 2559

OSI Model 7 Laye

        แบบจำลองโอเอสไอ (Open Systems Interconnection model : OSI model) (ISO/IEC 7498-1) เป็นรูปแบบความคิดที่พรรณนาถึงคุณสมบัติพิเศษและมาตรฐานการทำงานภายในของระบบการสื่อสารโดยแบ่งเป็นชั้นนามธรรม และโพรโทคอลของระบบคอมพิวเตอร์ พัฒนาขึ้นโดยองค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน (ISO)
แบบจำลองนี้จะทำการจับกลุ่มรูปแบบฟังก์ชันการสื่อสารที่คล้ายกันให้อยู่ในชั้นใดชั้นหนึ่งในเจ็ดชั้นตรรกะ ชั้นใดๆจะให้บริการชั้นที่อยู่บนและตัวเองได้รับบริการจากชั้นที่อยู่ด้านล่าง ตัวอย่างเช่นชั้นที่ให้การสื่อสารที่ error-free ในเครือข่ายจะจัดหาเส้นทางที่จำเป็นสำหรับแอพพลิเคชันชั้นบน ในขณะที่มันเรียกชั้นต่ำลงไปให้ส่งและรับแพ็คเก็ตเพื่อสร้างเนื้อหาของเส้นทางนั้น งานสองอย่างในเวลาเดียวกันที่ชั้นหนึ่งๆจะถูกเชื่อมต่อในแนวนอนบนชั้นนั้นๆ ตามรูปผู้ส่งข้อมูลจะดำเนินงานเริ่มจากชั้นที่ 7 จนถึงชั้นที่ 1 ส่งออกไปข้างนอกผ่านตัวกลางไปที่ผู้รับ ผู้รับก็จะดำเนินการจากชั้นที่ 1 ขึ้นไปจนถึงชั้นที่ 7 เพื่อให้ได้ข้อมูลอันนั้น
 แหล่งที่มา : https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjJE1j4Z0ljaWBw1eSQSaKobot4yn2duaK_-1gxhDDlZiOShvZ3gaoi0sOgpxt2PFUD_ZjfpVej2kh3WAiJNACzFc-oxp5Wjrx1jmGuF8sNCAuY3tzFszsREEWLsXTQDFkwUCvrjJsJ6lE/s1600/OSI_model_LAN.jpg

OSI Model ใช้อ้างอิงการสื่อสาร (Reference Model) แบ่งออกเป็นชั้น (Layer) โดยมีตั้งแต่ชั้นที่ 1 ถึงสวรรค์ชั้น 7 (Layer 1 – 7) โดย Layer 1 จะอยู่ด้านล่างสุด และเรียงขึ้นไปจนถึง Layer 7 แต่ละ Layer ก็มีชื่อเรียกตามรูปแบบการสื่อสารและการทำงานของมันในแต่ละชั้นนั่นเอง


แหล่งที่มา :  http://netprime-system.com/wp-content/uploads/2015/06/osi1.png

บน OSI Model ก็จะแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ
·         ตั้งแต่ Layer 1 – 4 เรียกว่า Lower Layer
·         ตั้งแต่ Layer 5 – 7 เรียกว่า Upper Layer

แหล่งที่มา : http://netprime-system.com/wp-content/uploads/2015/06/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E-16.jpg


Layer 1 (Physical Layer)

เป็นชั้นล่างสุดจะมีการกำหนดคุณสมบัติทางกายภาพของฮาร์ดแวร์ที่ใช้เชื่อมต่อระหว่าง คอมพิวเตอร์ทั้งสองระบบ เช่น
·       สายที่ใช้รับส่งข้อมูลจะเป็นแบบไหน
·       ข้อต่อที่ใช้ในการรับส่งข้อมูลมีมาตรฐานอย่างไร
·       ความเร็วในการรับส่งข้อมูลเท่าใด
·       สัญญาณที่ใช้ในการรับส่งข้อมูลมีรูปร่างอย่างไร
·       ใช้แรงดันไฟฟ้าเท่าไหร่
ข้อมูลใน Layer ที่ 1 นี้จะมองเห็นเป็นการรับส่งข้อมูลทีละบิตเรียงต่อกันไป

แหล่งที่มา :  http://netprime-system.com/wp-content/uploads/2015/06/physical-layer-1.jpg
 
จากรูปแสดงถึงการส่งข้อมูลบน Physical layer ครับ แสดงให้เห็นว่า ข้อมูลจะมาเป็นอย่างไรก็ตาม ก็จะถูกแปลงเป็นสัญญาณเพื่อส่งไปยังปลายทาง แล้วฝั่งปลายทางก็จะนำสัญญาณที่รับมาแปลงกลับเป็นข้อมูลเพื่อส่งให้เครื่อง Client ต่อไป
เพราะ ฉะนั้น อุปกรณ์ต่างๆที่มีความสามารถในการนำพาสัญญาณไป ก็พวก  Card LAN (NIC) , สาย UTP , สาย Fiber หรือพวก เต้าเสียบ หัวต่อต่างๆ RJ45 , RJ11 , RS323 ก็จัดอยู่ใน Physical Layer 

Layer 2 (Data-Link Layer)

เป็นชั้นที่ทำหน้ากำหนดรูปแบบของการส่งข้อมูลข้าม Physical Network โดยใช้ Physical Address อ้างอิงที่อยู่ต้นทางและปลายทาง ซึ่งก็คือ MAC Address นั่นเอง รวมถึงทำการตรวจสอบและจัดการกับ error ในการรับส่งข้อมูล ข้อมูลที่ถูกส่งบน Layer 2 เราจะเรียกว่า Frame ซึ่งบน Layer 2 ก็จะแบ่งเป็น LAN และ WAN
ปัจจุบัน บน Layer 2 LAN เรานิยมใช้เทคโนโลยีแบบ Ethernet มากที่สุด ส่วน WAN ก็จะมีหลายแบบแตกต่างกันไป เช่น Lease Line (HDLC , PPP) , MPLS , 3G และอื่นๆ
 
แหล่งที่มา :  http://netprime-system.com/wp-content/uploads/2015/06/Ether-Frame.jpg
 
สำหรับ LAN ยังมีการแบ่งย่อยออกเป็น 2 sub layers คือ
Logical Link Control (LLC)
IEEE 802.2 ซึ่งจะให้บริการกับ Layer ด้านบนในการเข้าใช้สัญญาณใน การรับ-ส่งข้อมูล ตามมาตรฐาน IEEE802 แล้ว จะอนุญาตให้สถาปัตยกรรมของ LAN ที่ต่างกันสามารถทำงานร่วมกันได้ หมายความว่า  Layer ด้านบนไม่จำเป็นต้องทราบว่า Physical Layer ใช้สายสัญญาณประเภทใดในการรับ-ส่งข้อมูล เพราะ LLC จะรับผิดชอบในการปรับ Frame ข้อมูลให้สามารถส่งไปได้ในสายสัญญาณประเภทนั้นได้ และไม่จำเป็นต้องสนใจว่าข้อมูลจะส่งผ่านเครือข่ายแบบไหน เช่น Ethernet , Token Ring  และไม่จำเป็นต้องรู้ว่าการส่งผ่านข้อมูลใน Physical Layer จะใช้การรับส่งข้อมูล แบบใด LLC จะเป็นผู้จัดการเรื่องเหล่านี้ได้ทั้งหมด
Media Access Control (MAC)
IEEE 802.3 ใช้ควบคุมการติดต่อสื่อสารกับ Layer 1 และรับผิดชอบในการรับ-ส่งข้อมูลให้สำเร็จและถูกต้อง โดยมีการระบุ MAC Address ของอุปกรณ์เครือข่าย ซึ่งใช้อ้างอิงในการส่งข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง เช่น
จาก ต้นทางส่งมาจาก MAC Address หมายเลข AAAA:AAAA:AAAA ส่งไปหาปลายทางหมายเลข BBBB:BBBB:BBBB เมื่อปลายทางได้รับข้อมูลก็จะรู้ว่าใครส่งมา เพื่อจะได้ตอบกลับไปถูกต้อง นั่นเอง
แหล่งที่มา :  http://netprime-system.com/wp-content/uploads/2015/06/layer2.jpg
 
บน Ethernet (IEEE802.3) เมื่อมันมีหน้าที่ในการรับผิดชอบการรับ-ส่งข้อมูลให้สำเร็จและถูกต้อง มันจึงมีการตรวจสอบข้อผิดพลาดในการส่งข้อมูลด้วย ที่เราเรียกว่า Frame Check Sequence (FCS) และยังตรวจสอบกับ Physical ด้วยว่าช่องสัญญาณพร้อมสำหรับส่งข้อมูลไหม ถ้าว่างก็ส่งได้ ถ้าไม่ว่างก็ต้องรอ กลไกนี่เรารู้จักกันในชื่อ CSMA/CD
CSMA/CD มันก็คือกลไกการตรวจสอบการชนกันของข้อมูล บน Ethernet ถ้าเกิดมีการชนกันเกิดขึ้น มันก็จะส่งสัญญาณ (jam signal) ออกไปเพื่อให้ทุกคนหยุดส่งข้อมูล แล้วสุ่มรอเวลา (back off) เพื่อส่งใหม่อีกครั้ง

Layer 3 (Network Layer)

ทำหน้าที่ส่งข้อมูลข้ามเครือข่าย หรือ ข้าม network โดยส่งข้อมูลผ่าน Internet Protocol (IP) โดยมีการสร้างที่อยู่ขึ้นมา (Logical Address) เพื่อใช้อ้างอิงเวลาส่งข้อมูล เราเรียกว่า IP address ข้อมูลที่ถูกส่งมาจากต้นทาง เพื่อไปยังปลายทาง ที่ไม่ได้อยู่บนเครือข่ายเดียวกัน จำเป็นจะต้องพึ่งพาอุปกรณ์ที่ทำงานบน Layer 3 นั่นก็คือ Router หรือ Switch Layer 3 โดยใช้ Routing Protocol (OSPF , EIGRP) เพื่อหาเส้นทางและส่งข้อมูลนั้น (IP) ข้ามเครือข่ายไป



แหล่งที่มา :  http://netprime-system.com/wp-content/uploads/2015/06/layer3-1.jpg

โดยการทำงานของ Internet Protocol (IP) เป็นการทำงานแบบ Connection-less หมายความว่า IP ไม่มีการตรวจสอบข้อมูลว่าส่งไปถึงปลายทางไหม แต่มันจะพยายามส่งข้อมูลออกไปด้วยความพยายามที่ดีที่สุด (Best-Effort) เพราะฉะนั้น ข้อมูลที่ส่งออกไปแล้วไม่ถึงปลายทาง ต้นทางก็จะไม่รู้เลย ถ้าส่งไปแล้วข้อมูลไม่ถึงปลายทาง ฝั่งต้นทางจะต้องทำการส่งไปใหม่ บน Layer 3 จึงมี Protocol อีกตัวหนึ่งเพื่อใช้ตรวจสอบว่าปลายทางยังมีชีวิตอยู่ไหม ก่อนที่จะส่งข้อมูล นั่นคือ ICMP ครับ แต่ผู้ใช้งานจะต้องเป็นคนเรียกใช้ protocol 

Layer 4 (Transport Layer)

ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับ Upper Layer ในการใช้งาน network services ต่างๆ หรือ Application ต่าง จากต้นทางไปยังปลายทาง (end-to-end connection) ในแต่ละ services ได้ โดยใช้ port number ในการส่งข้อมูลของ Layer 4 จะใช้งานผ่าน protocol 2 ตัว คือ TCP และ UDP
แหล่งที่มา http://netpr แหล่งที่มา : ime-system.com/wp-content/uploads/2015/06/layer4-1.jpg
 
เมื่อข้อมูลถูกส่งมาใช้งานผ่าน services Telnet ไปยังปลายทางถูกส่งลงมาที่ Layer 4 ก็จะทำการแยกว่า telnet คือ port number 23 เป็น port number ที่ใช้ติดต่อไปหาปลายทาง แล้วฝั่งต้นทางก็จะ random port number ขึ้นมา เพื่อให้ปลายทางสามารถตอบกลับมาได้เช่นเดียวกัน
แหล่งที่มา : http://netprime-system.com/wp-content/uploads/2015/06/layer4-2.jpg
 
Transmission Control Protocol (TCP) มีคุณลักษณะที่สำคัญ ดังนี้
·         จัดแบ่งข้อมูลจากระดับ Application ให้มีขนาดพอเหมาะที่จะส่งไปบนเครือข่าย (Segment)
·         มีการสร้าง Connection กันก่อนที่จะมีการรับส่งข้อมูลกัน (Connection-oriented)
·         มีการใช้ Sequence Number เพื่อจัดลำดับการส่งข้อมูล
·         มีการตรวจสอบว่าข้อมูลที่ส่งไปถึงปลายทางหรือไม่ (Recovery)
บน TCP ก่อนจะส่งข้อมูลนั้นจะต้องทำการตรวจสอบก่อนว่า ปลายทางสามารถติดต่อได้ โดยจะทำการสร้างการเชื่อมต่อระหว่างผู้ส่งและผู้รับก่อน โดยใช้กลไก Three-Way Handshake เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลที่ส่งจะสามารถส่งถึงผู้รับแน่นอน
แหล่งที่มา : http://netprime-system.com/wp-content/uploads/2015/06/layer4-3.jpg
 
นอกจาก Three-Way Handshake แล้ว TCP ยังมีกลไก Flow Control เพื่อควบคุมการส่งข้อมูลเมื่อเกิดปัญหาบนเครือข่ายระหว่างที่ส่งข้อมูลอยู่ หรือ กลไก Error Recovery ในกรณีที่มีข้อมูลบางส่วนหายไปขณะส่ง ก็ให้ทำการส่งมาใหม่ (Retransmission) แต่ผมขอพูดเรื่องกลไกต่างๆไว้เพียงเบื้องต้นละกันนะครับ
นอก จากนั้นยังสามารถทำการจัดสรรหรือแบ่งส่วนของข้อมูลออกเป็นส่วนๆ (Segmentation) ก่อนที่จะส่งลงไปที่ Layer 3 อีกด้วย และข้อมูลที่ถูกแบ่งออก ก็จะใส่ลำดับหมายเลขเข้าไป (Sequence number) เพื่อให้ปลายทางนำข้อมูลไปประกอบกันได้อย่างถูกต้อง
User Datagram Protocol (UDP) มีคุณลักษณะที่สำคัญ ดังนี้
·         ไม่มีการสร้าง Connection กันก่อนที่จะมีการรับส่งข้อมูลกัน (Connectionless)
·         ส่งข้อมูลด้วยความพยายามที่ดีที่สุด (Best-Effort)
·         ไม่มีการตรวจสอบว่าข้อมูลที่ส่งไปถึงปลายทางหรือไม่   (No Recovery)
บน UDP จะตรงข้ามกับ TCP เลยครับ เพราะ ไม่มีการสร้างการเชื่อมต่อกันก่อน หมายความว่าถ้า services ใดๆ ใช้งานผ่าน UDP ก็จะถูกส่งออกไปทันทีด้วยความพยายามที่ดีที่สุด (ฺBest-Effort) และไม่มีการส่งใหม่เมื่อข้อมูลสูญหาย (No Recovery) หรือส่งไม่ถึงปลายทางอีกด้วย
ข้อดีของมันก็คือ มีความรวดเร็วในการส่งข้อมูล เพราะฉะนั้น services ที่ใช้งานผ่าน UDP ก็มีมากมาย เช่น TFTP , DHCP , VoIP และอื่นๆ เป็นต้น

แหล่งที่มา http://netprime-system.com/wp-content/uploads/2015/06/layer4-4.jpg


Layer 5 (Session Layer)

ทำหน้าที่ควบคุมการเชื่อมต่อ session เพื่อติดต่อจากต้นทาง กับ ปลายทาง 

แหล่งที่มา :  http://netprime-system.com/wp-content/uploads/2015/06/layer5-1.jpg
 
เมื่อฝั่งต้นทางต้องการติดต่อไปยังปลายทางด้วย port 80 (เปิด Internet Explorer) ฝั่งต้นทางก็จะทำการติดต่อไปยังปลายทาง โดยการสร้าง session ขึ้นมา เป็น session ที่ 1 ส่งผ่าน Layer 4 โดย random port ต้นทางขึ้นมาเป็น 1025 ส่งไปหาปลายทางด้วย port 80
ระหว่าง ที่ session ที่ 1 ใช้งานอยู่ เราติดต่อไปยังปลายทางอีกครั้งด้วย port 80 (เปิด Google Chrome) ฝั่งต้นทางก็จะทำการสร้าง session ที่ 2 ขึ้นมา ส่งผ่าน Layer 4 โดย random port ต้นทางขึ้นมาเป็น 1026 ส่งไปหาปลายทางด้วย port 80
แล้วแต่ละ session ฝั่งปลายทาง ก็จะตอบกลับมาด้วย port ที่ฝั่งต้นทางส่งมา ทำให้สามารถแยก session ออกได้ เมื่อเราส่งข้อมูลบนเครือข่าย

Layer 6 (Presentation Layer)

หน้าที่หลักคือการแปลงรหัสข้อมูลที่ส่งระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่องให้เป็นอักขระแบบเดียวกัน เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะใช้รหัส ASCII (American Standard Code for Information Interchange) แต่ในบางกรณีเครื่องที่ใช้รหัส ASCII อาจจะต้องสื่อสารกับเครื่องเมนเฟรมของ IBM ที่ใช้รหัส EBCDIC (Extended Binary Coded Decimal Interchange Code) ดังนั้น Presentation Layer จะทำหน้าที่แปลงรหัสเหล่านี้ให้เครื่องคอมพิวเตอร์เข้าใจได้ตรงกัน นอกจากนี้ยังสามารถทำการลดขนาดของข้อมูล (data compression) เพื่อเป็นการประหยัดเวลาในการรับส่ง และสามารถเข้ารหัสเพื่อเป็นการป้องกันการโจรกรรมข้อมูลได้อีกด้วย

แหล่งที่มา : http://image.slidesharecdn.com/ch03-2dc-17586/95/layer-examples-in-data-communication-cd4-7-728.jpg?cb=1179662869


Layer 7 (Application Layer)

ทำหน้าที่ติดต่อระหว่างผู้ใช้ (user) กับ application การทำงานของเลเยอร์นี้จะเกี่ยวข้องกับโปรโตคอลต่างๆ มากมาย ซึ่งจะมีการใช้งานที่เฉพาะตัวแตกต่างกันออกไป มีบริการทางด้านโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ ได้แก่ email, file transfer, remote job entry, directory services นอกจากนี้ยังมีการจัดเตรียมฟังก์ชั่นในการเข้าถึงไฟล์และเครื่องพิมพ์ ซึ่งเป็นการแบ่งปันการใช้ทรัพยากรบนระบบเครือข่าย

แหล่งที่มา : http://image.slidesharecdn.com/ch03-2dc-17586/95/layer-examples-in-data-communication-cd4-8-728.jpg?cb=1179662869


แหล่งที่มาของข้อมูล :
netprime. 2559. มาทำความรู้จักกับ OSI MODEL 7 LAYERS กันดีกว่า. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : http://netprime-system.com/osi-model-7-layers/. 22 ตุลาคม 2559
          มาตรฐานการสื่อสารข้อมูล. (ออนไลน์). แหล่งที่มา :

http://irrigation.rid.go.th/rid15/ppn/Knowledge/Networks%20Technology/network6.htm. 22 ตุลาคม 2559

หน้าที่และการทำงานโพรโตคอล (Protocol)

HTTP
               
HTTP ย่อมาจาก Hypertext Transfer Protocol คือ โพรโทคอลสื่อสารสำหรับการแลกเปลี่ยนสารสนเทศผ่านอินเทอร์เน็ต โดยหลักแล้วใช้ในการรับเอกสารข้อความหลายมิติที่นำไปสู่การเชื่อมต่อกับ World Wide Web(WWW )จะใช้เมื่อเรียกโปรแกรมweb browserเช่น Firefox, Google Chrome, Safari, Opera และ IE Microsoft Internet Explorer เรียกดูข้อมูลหรือเว็บเพจ โปรแกรมบราวเซอร์ดังกล่าวจะใช้โปรโตคอล HTTP ซึ่งโปรโตคอลนี้ทำให้เซิร์ฟเวอร์ส่งข้อมูลมาให้บราวเซอร์ตามต้องการ และบราวเซอร์จะนำข้อมูลมาแสดงผลบนจอภาพได้อย่างถูกต้อง
            ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่าง Server และ Client ของ World Wide Web (Server) โดยส่งข้อมูลแบบ Clear text คือ ข้อมูลที่ทำการส่งไปนั้น ไม่ได้ทำการเข้ารหัส ทำให้สามารถถูกดักจับและอ่านข้อมูลได้ง่าย

แหล่งที่มา : http://staff.cs.psu.ac.th/noi/cs344-481/group11_Http/Image26.gif


HTTPS
            https ย่อมาจาก Hypertext Transfer Protocol over Secure Socket Layer หรือ http over ssl คือ โปรโตคอลที่ระบุถึงการเชื่อมต่อแบบ Secure http โปรโตคอล https สร้างเพื่อความปลอดภัย
ในการสื่อสารผ่านอินเตอร์เน็ตข้อมูลที่ทำการส่งได้ถูกเข้ารหัสเอาไว้ โดยใช้ Asymmetric Algorithm ซึ่งถ้าถูกดักจับได้ก็ไม่สามารถที่จะอ่านข้อมูลนั้นได้รู้เรื่อง โดยข้อมูลนั้นจะสามารถอ่านได้เข้าใจเฉพาะClient กับเครื่อง Server เท่านั้น นิยมใช้กับเว็บไซต์ที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น เว็บไซต์ของธนาคาร ร้านค้าออนไลน์ เป็นต้น

แหล่งที่มา : https://hatyaisoftwaredevelop.files.wordpress.com/2014/12/pp2012no0002-04.jpg


POP3
POP3 (Post Office Protocol) เป็น Protocol มาตรฐานที่ใช้งานในการคัดลอกข้อมูล E-mail message ทั้งหมดจาก อีเมล์เซิร์ฟเวอร์มายังเครื่องที่ทำการเชื่อมต่อโดยจะทำการอัพเดทเฉพาะข้อมูลใหม่ที่พบในอีเมล์เซิร์ฟเวอร์เท่านั้น และเมื่อดึงข้อมูลมาแล้วโปรแกรม Mail Client มักจะลบข้อมูลใน Mailbox server ด้วยดังภาพ


แหล่งที่มา : https://mail.egat.co.th/owapage/km/images/mailproto1.png

SMTP
SMTP (Simple Mail Transfer Protocol) เป็น โปรโตคอลมาตรฐานที่ใช้ในการส่ง E-mail Message เท่านั้น ดังนั้นหากตั้งค่าการใช้งานเมล์โดยใช้ POP3 หรือ IMAP4 แล้วจึงจำเป็นต้องตั้งค่า SMTP ด้วยเพื่อ ให้โปรแกรม Mail Client สามารถส่งเมล์ได้ดังภาพ

แหล่งที่มา : https://mail.egat.co.th/owapage/km/images/mailproto3.png


FTP
FTP ย่อมาจาก File Transfer Protocol คือ โปรโตคอลเครือข่ายชนิดหนึ่ง ถูกนำใช้ในการถ่ายโอนไฟล์ ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ อย่างการถ่ายโอนไฟล์ระหว่าง ไคลเอนต์ (client) กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นแม่ข่าย เรียกว่า โฮสติง (hosting) หรือ เซิร์ฟเวอร์ ซึ่งทำให้การถ่ายโอนไฟล์ง่ายและปลอดภัยในการแลกเปลี่ยนไฟล์ผ่านอินเตอร์เน็ต การใช้ FTP ที่พบบ่อยสุด ก็เช่น การดาวน์โหลดไฟล์จากอินเทอร์เน็ต ความสามารถในการถ่ายโอนไฟล์ ทำให้ FTP เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนที่สร้างเว็บเพจ ทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพ โดยที่การติดต่อกันทาง FTP เราจะต้องติดต่อกันทาง Port 21 ซึ่งก่อนที่จะเข้าใช้งานได้นั้น จะต้องเป็นสมาชิกและมีชื่อผู้เข้าใช้ (User) และ รหัสผู้เข้าใช้ (password) ก่อน และโปรแกรมสำหรับติดต่อกับแม่ข่าย (server) ส่วนมากจะใช้โปรแกรมสำเร็จรูป เช่น โปรแกรม Filezilla,CuteFTP หรือ WSFTP ในการติดต่อ เป็นต้น
FTP แบ่งเป็น 2 ส่วน
            1. FTP server เป็นโปรแกรมที่ถูกติดตั้งไว้ที่เครื่องเซิฟเวอร์ ทำหน้าที่ให้บริการ FTP หากมีการเชื่อมต่อจากไคลแอนเข้าไป
            2. FTP client เป็นโปรแกรม FTP ที่ถูกติดตั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์ของ user ทั่วๆไป ทำหน้าที่เชื่อมต่อไปยัง FTP server และทำการอัพโหลด, ดาวน์โหลดไฟล์ หรือ จะสั่งแก้ไขชื่อไฟล์, ลบไฟล์ และเคลื่อนย้ายไฟล์ก็ได้เช่นกัน
แหล่งที่มา : http://www.deskshare.com/resources/articles/images/ftp-protocol.gif



IP (Internet Protocol) 
               
IP เป็นโปรโตคอลในระดับเน็ตเวิร์คเลเยอร์ ทำหน้าที่จัดการเกี่ยวกับแอดเดรสและข้อมูล และควบคุมการส่งข้อมูลบางอย่างที่ใช้ในการหาเส้นทางของแพ็กเก็ต ซึ่งกลไกในการหาเส้นทางของ IP จะมีความสามารถในการหาเส้นทางที่ดีที่สุด และสามารถเปลี่ยนแปลงเส้นทางได้ในระหว่างการส่งข้อมูล และมีระบบการแยกและประกอบดาต้าแกรม (datagram) เพื่อรองรับการส่งข้อมูลระดับ data link ที่มีขนาด MTU (Maximum Transmission Unit) ทีแตกต่างกัน ทำให้สามารถนำ IP ไปใช้บนโปรโตคอลอื่นได้หลากหลาย เช่น Ethernet ,Token Ring หรือ Apple Talk
การเชื่อมต่อของ IP เพื่อทำการส่งข้อมูล จะเป็นแบบ connectionless หรือเกิดเส้นทางการเชื่อมต่อในทุกๆครั้งของการส่งข้อมูล 1 ดาต้าแกรม โดยจะไม่ทราบถึงข้อมูลดาต้าแกรมที่ส่งก่อนหน้าหรือส่งตามมา แต่การส่งข้อมูลใน 1 ดาต้าแกรม อาจจะเกิดการส่งได้หลายครั้งในกรณีที่มีการแบ่งข้อมูลออกเป็นส่วนย่อยๆ (fragmentation) และถูกนำไปรวมเป็นดาต้าแกรมเดิมเมื่อถึงปลายทาง
แหล่งที่มา : http://www.tnetsecurity.com/content_basic/images/tcp_ip3.gif



TCP/IP
TCP/IP (Transmitsion Control Protocol/Internet Protocol) เป็นชุดของโปรโตคอลที่ถูกใช้ในการสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สามารถใช้สื่อสารจากต้นทางข้ามเครือข่ายไปยังปลายทางได้ และสามารถหาเส้นทางที่จะส่งข้อมูลไปได้เองโดยอัตโนมัติ ถึงแม้ว่าในระหว่างทางอาจจะผ่านเครือข่ายที่มีปัญหา โปรโตคอลก็ยังคงหาเส้นทางอื่นในการส่งผ่านข้อมูลไปให้ถึงปลายทางได้

แหล่งที่มา :  http://www.thaiall.com/internet/tcpip.jpg



DHCP
               
DHCP ย่อมาจาก Dynamic Host Configuration Protocol คือโพรโทคอลที่ใช้ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ทำงานแบบแม่ข่ายกับลูกข่าย โดย DHCP ได้รับการยอมรับเป็นมาตรฐานในการใช้งานในเครือข่ายแทน BOOTP ซึ่งเป็นโพรโทคอลรุ่นเก่า ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1993 โดยในปัจจุบันนี้ DHCP ได้มีการพัฒนามาถึงเวอร์ชั่น DHCPv6 ใช้กับงานร่วมกับโพรโทคอล IPv6 และได้รับมาตรฐานในการใช้งานตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ.2003

แหล่งที่มา :  http://www.เกร็ดความรู้.net/wp-content/uploads/2015/02/dhcp-content.jpg

หน้าที่หลักๆของ DHCP (Dynamic Host Configuration Protocol) คือคอยจัดการและแจกจ่ายเลขหมายไอพีให้กับลูกข่ายที่มาเชื่อมต่อกับแม่ข่ายไม่ให้หมายเลขไอพีของลูกข่ายมีการซ้ำกันอย่างเด็ดขาด อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่งได้ทำการเชื่อมต่อกับ DHCP Server เครื่องเซฟเวอร์ก็จะให้ หมายเลขไอพีกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มาทำการต่อเชื่อมแบบอัตโนมัติ ซึ่งไม่ว่าจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อมากเท่าไร DHCP Server ก็จะออกเลยหมายไอพีให้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องไม่ซ้ำกันทำให้เครือข่ายนั้นไม่เกิดปัญหาในการใช้งาน


IMAP
               
IMAP ย่อมาจาก Internet Message Access Protocol ซึ่งมีข้อดีกว่า โปรโตคอล POP (Post Office Protocol) ที่จะทำงานแบบ Offline Model หรือจะเรียกว่าการทำงานด้านเดียวนั้นเอง ซึ่งการทำงานของ POP จะแตกต่างจาก IMAP อย่างสิ้นเชิง โดยการทำงานของ POP จะใช้งานผ่าน Email client จากเครื่องคอมพิวเตอร์ ติดต่อกับ Mail Server โดยตรงซึ่งการแก้ไข ลบ เพิ่ม เติมอีเมล์ก็จะทำได้จาก Email client เท่านั้น แต่การทำงานของ IMAP นั้นทำงานแตกต่างจากโปรโตคอล POP ด้วยการทำงานควบคู่กับอุปกรณ์สื่อสารต่าง ๆซึ่งการทำงานแบบนี้เรียกว่า การทำงานแบบ Two way communication หรือ Online Model

แหล่งที่มา http://www.comgeeks.net/wp-content/uploads/2015/07/imap-content.jpg

ลักษณะการทำงานของโปรโตคอล IMAP นั้นจะทำงานแบบออนไลน์ด้วยการจัดการและประมวลผลต่าง ๆทางออนไลน์จาก Mail Server ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือนว่ามีการเปิดอ่านเมล์ใหม่หรือยัง หรือการลบเมล์ที่มีอยู่ใน อินบล็อคออกไป โดยการทำงานทั้งหมดจะอยู่ที่ Mail Server เป็นตัวจัดการ ซึ่งผู้ใช้งานเพียงแต่ทำงานอ่านและจัดการสั่งงานเพียงเท่านั้น



ARP
ARP หรือ Address Resolution Protocol เป็นโปรโตคอลที่ใช้ในการสื่อสาร ทำหน้าที่ในการจับคู่ระหว่างไอพีแอดเดรสทางlogical กับ แอดเดรสทางphysical address ไอพีแอดเดรสทาง logical ก็คือหมายเลขไอพี (IP) ที่ทำงานอยู่บน Layer 3 และ physical addressก็คือ MAC Address ที่อยู่บน Layer 2 ตามมาตรฐาน OSI Model
การทำงานของ ARP โดยขั้นตอนแรกเครื่องที่ต้องการสอบถาม MAC Address ก็จะส่ง ARP Request ซึ่งบรรจุ IP , MAC Address ของตนเอง และ IP Address ของเครื่องที่ต้องการทราบ MAC Address ส่วน MAC Address ปลายทางนั้น จะถูกกำหนดเป็น FF:FF:FF:FF:FF:FF ซึ่งเป็น Broadcast Address เพื่อให้ ARP packet ถูกส่งไปยังเครื่องทุกเครื่องที่อยู่ในเน็ตเวิร์คเดียวกัน เมื่อเครื่องที่มี IP Address ตรงกับที่ระบุใน ARP Packet จะตอบกลับมาด้วย ARP Packet  โดยใส่ MAC Address และ IP Address ของตนเองเป็นผู้ส่ง และใส่ MAC Address และ IP Address ของเครื่องที่ส่งมาเป็นผู้รับ packet ที่ตอบกลับนี้เรียกว่า ARP Reply 

แหล่งที่มา : https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEil3eGrThx6XPGLst6Ip_WX-IC5UUQ_Gd4Evgp4EqovVYj9LxeRMgFzAfciThWX5hghT4VCfXu0gk0G1Wt58pt9JtAvBIOHI_vQMTWfjDfrUvoM-xMP8J1B9tnDUKP0TqumI3XmdGJuT-n2/s1600/image19.png



RARP (Reverse Address Resolution Protocol)
RARP (Reverse Address Resolution Protocol) เป็นโปรโตคอลที่มีการทำงานที่คล้ายคลึงกับโปรโตคอล ARP โดยจะทำงานในลักษณะตรงกันข้าม ด้วยการแปลงหมายเลขแมคแอดเดรสให้เป็นหมายเลขไอพี ซึ่งโปรโตคอล RARP นี้ออกแบบมาเพื่อใช้งานกับคอมพิวเตอร์ที่ปราศจากดิสก์หรือฮาร์ดดิสก์ (Diskless Computer) ดังนั้นเวลาบูตเครื่องจึงจำเป็นต้องบูตจากระบบปฏิบัติการเครือข่ายของเซิร์ฟเวอร์บนเครือข่าย โดยเซิร์ฟเวอร์บนเครือข่ายจะจัดเก็บตารางความสัมพันธ์ระหว่างแมคแอดเดรสกับหมายเลขไอพี โฮสต์ที่ต้องการหมายเลขไอพีจะทำการบรอดแคสต์ RARP Query Packet ที่บรรจุฟิสิคัลแอดเดรสไปยังทุกๆ โฮสต์บนเครือข่าย จากนั้นเครื่องเซิร์ฟเวอร์บนเครือข่ายก็จะจัดการกับ RARP Packet ด้วยการตอบกลับไปด้วยหมายเลขไอพีไปยังโฮสต์นั้น

แหล่งที่มา : http://images.slideplayer.in.th/8/2278350/slides/slide_10.jpg


ICMP
                 ICMP ย่อมาจาก Internet Control Massage Protocol มีเอาไว้ใช้ตรวจสอบการทำงาน ของ TCP/IP  เช่น Ping เป็นคำสั่งสำหรับทำ echo reply ส่งไปหากปลายทางเปิดไว้ ก็จะสะท้อนมาให้รู้ หากที่ไหนปิดไว้ ก็จะ timed out / no response ICMP เป็นเพียงโปรโตคอลที่ช่วยให้ระบบทำงานดียิ่งขึ้น เข้ามาช่วยแก้ปัญหาที่เกิดจากการทำงานปกติของระดับ 3 คือ IP
รูปแบบการทำงานของโปรโตคอล  ICMP จะทำควบคู่กับโปรโตคอล IP ในระบบเดียวกัน และข้อความต่าง ๆ ที่แจ้งให้ทราบจะถูกรวมอยู่ภายในข้อมูล  IP Packet อีกทีหนึ่ง หรือ เป็นผู้รายงานความผิดพลาดในนามของ IP เมื่อโปรโตคอลเกิดความผิดพลาดโดยไม่สามารถกู้คืนได้  Packet  ก็จะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้    
  •   ยกเลิก Packet แล้วรายงานความผิดพลาดกลับมายังผู้ส่ง ข้อความที่ส่งไปนั้นก็จะถูกทิ้ง
  •   การแจ้งหรือแสดงข้อความจากระบบ เพื่อบอกให้ผู้ใช้ ทราบว่า เกิดอะไรขึ้นในการส่งผ่านข้อมูลนั้น 
  •   โปรโตคอล ICMP ยังถูกเรียกใช้งานจากเครื่อง Server และ Router อีกด้วย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ใช้ควบคุม
  •   เมื่อมีการส่งผ่านข้อมูลจากผู้ใช้ไปยังปลายทางที่ไม่ถูกต้อง หรือขณะนั้นเครื่องปลายทางเกิดปัญหา  จนไม่สามารถรับ   ข้อมูลได้
  •   Router จะส่งข้อความแจ้งเป็น ICMP Message ที่ชื่อ Destination Unreachable ให้กับผู้ส่งข้อมูลนั้น นอกจากนี้ตัวข้อมูลที่แจ้งข้อความ จะมีส่วนของข้อมูล IP Packet ที่เกิดปัญหาด้วย
  •  โปรโตคอล ICMP จึงกลายมาเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการช่วยทดสอบเครือข่าย เช่น คำสั่ง Ping ที่เรามักใช้ทดสอบว่าเครื่องServer ที่ให้บริการหรืออุปกรณ์ที่ต่ออยู่ในเครือข่ายอินเตอร์เน็ตนั้นยังทำงานเป็นปกติหรือไม่ 

แหล่งที่มา : https://sites.google.com/site/icmp03/_/rsrc/1472864967466/structure-icmp/hlak-kar-thangan/lan_traffic.gif



SIP
session Initiation Protocol (SIP) คือ โพรโทคอลหรือเกณฑ์วิธีเพื่อใช้งานด้านมัลติมีเดีย เช่น การส่งข้อมูลเสียงหรือวีดีโอบนเครือข่าย IP ได้รับการพัฒนาโดย IETF และ SIP ถือว่าเป็นโพรโทคอลที่เหนือกว่าโพรโทคอลอื่นในแง่ของการที่สามารถปรับใช้และนำไปพัฒนาได้ง่ายกว่า โดยตัวโพรโทคอลเองมีความสามารถในการสร้าง (create) , ปรับ (modify) และ ยกเลิก (terminate) การติดต่อสื่อสารระหว่างโหนดที่เป็นแบบหนึ่งต่อหนึ่ง (unicast) หรือแบบกลุ่ม (multicast) ได้ ซึ่ง SIP สามารถปรับเปลี่ยนที่อยู่ (address), หมายเลขพอร์ต, เพิ่มสายผู้สนทนา และสามารถเพิ่มหรือลดการส่งข้อมูลมิเดีย (media stream) บางประเภทได้ ตัวอย่างของโปรแกรมประยุกต์ (application) ที่อาศัย SIP ในการเชื่อมต่อ เช่น การประชุมด้วยวิดีโอ (video conferencing), การกระจายข้อมูลภาพและเสียง (streaming multimedia distribution), การส่งข้อความด่วน (instant messaging), การส่งไฟล์ (file transfer) และ เกมออนไลน์ เป็นต้น

แหล่งที่มา https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjiqafx6fPoo52tWQL5qsUrjPidlPMSaJe8o7J9jYP2cMDHphwLv2LBYclt062rAJtUeWLFUWFN3u1DlpIFAk0VzxZsJEyGraj7VYnwKSLQwdC_obxHIWYo_0bCIhpuRLO032-6w2_-hzs/s1600/SIP+server.gif


เฟรมรีเลย์
เฟรมรีเลย์ เป็นเทคโนโลยีของ Packet switch ประเภทหนึ่งเป็นโพรโทคอลในเลเยอร์ที่ 2 ที่ใช้ในเครือข่าย WAN ความเร็วสูงซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อจุดประสงค์หลักในการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Network) ต่างๆ ที่อยู่กระจัดกระจายออกไป ให้สามารถสื่อสารกันด้วยผ่านทาง "โครงสร้างเน็ตเวิร์คพื้นฐานที่ใช้งานร่วมกัน" เฟรมรีเลย์มีการใช้งานเทคนิคที่เรียกว่า Statistical Multiplexing ซึ่งทำให้อุปกรณ์ปลายทางหลายๆ ตัวสามารถเข้าถึงท่าส่งสัญญาณ ภายในเครือข่ายของเฟรมรีเลย์ได้พร้อมๆ กัน การทำ Statistical Multiplexing สามารถจัดสรรแบนด์วิทธ์ของท่าส่งสัญญาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องตามความต้องการในการใช้งานแบนด์วิทธ์จริง ในขณะที่ TDM ทั่วๆไป จะมีการจองแบนด์วิดธ์ไว้ใน Time Slot ที่กำหนดล่วงหน้าถึงแม้ Time Slot นั้นจะไม่ถูกใช้งาน.

แหล่งที่มา https://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/thumb/7/76/OSI_Layer_FrameLelay.JPG/800px-OSI_Layer_FrameLelay.JPG


IPX/SPX
IPX/SPX ย่อมากจาก Internetwork Packet Exchange (IPX) และ Sequenced Packet Exchange (SPX) โดยโปรโตคอลทั้งสองตัวนี้จะทำงานประสานกันทุกครั้ง ซึ่งโปรโตคอลทั้งสองตัวนี้ได้รับการพัฒนามาจาก Novell โดยบริษัทนี้ได้นำโปรโตคอล XNS ของบริษัท Xerox Corporation มาพัฒนาต่อจนกลายเป็น IPX/SPX
หลักการทำงานของโปรโตคอล IPX/SPX ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็ต้องแยกออกมาเป็นโปรโตคอล 2 ตัวด้วยกันคือ Internetwork Packet Exchange (IPX) ทำหน้าที่เหมือนกับพนักงานคัดแยะเอกสาร ซึ่งหน้าที่ของโปรโตคอลตัวนี้จะทำการหาปลายทางในการส่งและติดต่อกับผู้ส่ง โดยทำงานในระดับ Network Layer โดยทำงานอยู่ในเลเยอร์ที่ 3 ตามมาตรฐานของ OSI Model โดยโปรโตคอล IPX นี้จะทำงานแบบ connectionless และ unrerelible ซึ่งการทำงานแบบนี้ไม่จำเป็นต้องมีการเชื่อมต่อกับเครื่องที่ติดต่อกันอย่างถาวรหรือตลอดเวลา
ส่วนโปรโตคอล SPX นั้นจะเปรียบเทียบก็เป็น พนักงานส่งจดหมายหลังจาก IPX ได้ทำการหาปลายทางและทำการจัดส่งข้อมูลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว SPX จะนำข้อมูลไปส่งให้กับผู้รับซึ่งโปรโตคอลนี้จะทำงานอยู่ในระดับ transport layer โดยทำงานอยู่ในเลเยอร์ที่ 4 ตามมาตรฐาน OSI Model โดยมีการทำงานของโปรโตคอล SPX จะทำงานตรงกันข้ามกับโปรโตคอล IPX เนื่องจาก SPX จะต้องทำการติดต่อปลายทางให้ได้ก่อนถึงจะส่งข้อมูลผิดกับ IPX ไม่จำเป็นต้องติดต่อกับปลายทางก็สามารถส่งข้อมูลได้

แหล่งที่มา : http://www.comgeeks.net/wp-content/uploads/2015/09/ipx-content.gif


BOOTP
BOOTP (Bootstrap Protocol) เป็นโปรโตคอลที่ให้ผู้ใช้เครือข่าย สามารถทำการคอนฟิกโดยอัตโนมัติ (รับ IP address) และมีการบู๊ตระบบปฏิบัติการหรือเริ่มต้นจะไม่มีการเกี่ยวข้องของผู้ใช้ เครื่องแม่ข่าย BOOTP ได้รับการบริหารโดยผู้บริการเครือข่าย ซึ่งจะกำหนด IP address อย่างอัตโนมัติจากกองกลางของ IP address สำหรับช่วงเวลาที่แน่นอน
BOOTP เป็นพื้นฐานสำหรับโปรโตคอลแบบ network manager ระดับสูงอื่น ๆ เช่น Dynamic Host Configuration Protocol (DHCP)


แหล่งที่มา : http://www.rhyshaden.com/images/tcpip_g.gif



SSH
SSH (Secure Shell) คือ Network Protocol ที่สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลโดยช่องทางที่ปลอดภัย (Secure Channel) ระหว่างอุปกรณ์เครือข่ายสองตัว ใช้ Linux หรือ Unix เป็นระบบปฏิบัติการพื้นฐานในการเข้าถึงบัญชีผู้ใช้ (Shell Accounts) ซึ่ง SSH ได้รับการออกแบบให้มาแทนการ Telnet, Rlogin, RSH (The remote shell) ด้วยเหตุผลทางด้านความปลอดภัย การส่งข้อมูลจะอยู่ในรูปแบบตัวอักษร (Plaintext) ที่มีการเข้ารหัสข้อมูล (Encryption) เพื่อให้ข้อมูลเป็นความลับและให้สามารถส่งข้อมูลผ่านเครือข่าย Internet ได้อย่างสมบูรณ์ สามารถใช้งาน SSH ผ่านโปรแกรมประยุกต์ (Applications) ได้มากมายบนระบบปฏิบัติการ UNIX, Microsoft Windows, Apple Mac และ Linux โปรแกรมประยุกต์ (Applications)


แหล่งที่มา : https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjKZ3zjqPLxHXxlYYBuxmwi4QFf40iU4qzT91rWDsFjSHO1ApvNKIXwFomHQLbRZvlfLCkTS_kGiIvQJn8ivmzG_66PK6MiNfoOWagrpZt2S0KMYxFLAsm7soZTvh9CD5RiZGAW47s1mAUo/s400/ssh-tunnel.jpg

NTP
NTP (Network Time Protocol) เป็นโปรโตคอลสำหรับใช้เทียบเวลา (Synchronize) ระหว่างอุปกรณ์ที่ให้บริการเทียบเวลา (Time Server) กับคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ที่ต้องการเทียบเวลา (Time Client) ผ่านทางเครือข่ายการสื่อสารต่างๆ โดยโปรโตคอลจำทำงานที่พอร์ต 123 และใช้โปรโตคอล UDP ในการให้บริการ ลักษณะการให้บริการเทียบเวลาของโปรโตคอล NTP จะแบ่งออกเป็นลำดับชั้น เรียกว่า Clock Strata โดยในแต่ละลำดับชั้นจะเรียกว่า Stratum โดยจะเริ่มต้นอยู่ที่ Stratum 0 ไปจนถึงลำดับชั้นที่ยอมรับว่ายังมีความเที่ยงตรง คือ Stratum 4 หากมากกว่านี้จะไม่ได้รับการยอมรับตามมาตรฐานที่กำหนดขึ้นมาจากหน่วยงาน ANSI (American National Standards Institute) สำหรับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่เทียบเวลากับ Stratum 0 เรียกว่า Stratum 1 ถ้ามีอุปกรณ์คอมพิวเตอร์อื่นๆ ขอเทียบเวลากับ Stratum 1 จะเรียกว่า Stratum 2 ตามลำดับ จนถึง Stratum 4 นั่นหมายถึงลำดับของ Stratum ที่มากขึ้นจะมีค่าเวลาที่มีความห่างกับเวลามาตรฐานสากล Stratum 0 มากขึ้นด้วย




แหล่งที่มา :  http://www.arnut.com/bb/sites/default/files/styles/large/public/field/image/ntp2.png?itok=Nqys3bb-



แหล่งที่มาของข้อมูล :
Mindphp. 2559. HTTP HTTPS คืออะไร โพรโทคอล แลกเปลี่ยนข้อมูล(ออนไลน์). แหล่งที่มา :http://www.mindphp.com/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD/73-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/2046-http-https-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3.html. 23 ตุลาคม 2559
EGAT Mail Admin. 2559. E-mail Protocol. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : https://mail.egat.co.th/owapage/km/mailprotocol.html. 23 ตุลาคม 2559
Mindphp. 2559. FTP คืออะไร เอฟทีพี คือโปรโทคอล ที่ใช้ถ่ายโอนแฟ้มข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ผ่านอินเทอร์เน็ต. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : http://www.mindphp.com/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD/73-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/2147-ftp-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3.html. 23 ตุลาคม 2559

            อินเทอร์เน็ตโพรโทคอล. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B9%87%E0%B8%95%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A5. 23 ตุลาคม 2559

            ชวลิต ทินกรสูติบุตร และทีมงาน ThaiCERT. 2559. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ โปรโตคอล TCP/IP. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : http://www.tnetsecurity.com/content_basic/tcp_ip_knowledge.php. 24 ตุลาคม 2559

            DHCP คืออะไร ทำหน้าที่อะไร ประโยชน์ของ DHCP มีอะไรบ้าง. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : http://www.xn--12cg1cxchd0a2gzc1c5d5a.net/dhcp/. 24 ตุลาคม 2559

            IMAP คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : http://www.comgeeks.net/imap/. 24 ตุลาคม 59

            Ice Suntisuk . 2559. การทำงาน ARP Protocol (Address Resolution Protocol). (ออนไลน์). แหล่งที่มา : http://icesuntisuk.blogspot.com/2014/06/arp-protocol-address-resolution-protocol.html. 24 ตุลาคม 59

            PRAMNAJA. 2559. โปรโตรคอล. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : http://pramnaja.blogspot.com/2007/12/blog-post_06.html. 24 ตุลาคม 59
            ICMP(Internet Control Message Protocol). (ออนไลน์). แหล่งที่มา : http://amaneamisa.siam2web.com/?cid=1084626. 24 ตุลาคม 2559
            หลักการทำงาน ICMP. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : https://sites.google.com/site/icmp03/structure-icmp/hlak-kar-thangan. 24 ตุลาคม 2559
            Session Initiation Protocol. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/Session_Initiation_Protocol. 24 ตุลาคม 2559
            IPX คืออะไร. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : http://www.comgeeks.net/ipx/. 24 ตุลาคม 2559
            โปรโตรคอล. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : http://sumatty.blogspot.com/2013/02/blog-post.html. 24 ตุลาคม 2559
            Banned. 2559. SSH คืออะไร? และ วิธีป้องกัน root ssh. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : http://kiss-hack.blogspot.com/2013/11/ssh-root-hacking.html. 24 ตุลาคม 2559

            อ.อาณัติ รัตนถิรกุล. 2559. ทำความเข้าใจเรื่อง NTP (Network Time Protocol)

(ออนไลน์). แหล่งที่มา : http://www.arnut.com/bb/node/82. 24 ตุลาคม 2559